เรียนรู้ 3 บทเรียนสำคัญจาก Warren Buffett และสิ่งที่เข้าใจลึกขึ้นหลังผ่านไป 10 ปี เหมาะสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน
This article was originally published on October 20, 2015 via LinkedIn
บทความต้นฉบับเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 20 ตุลาคม 2015 – ฉบับปรับปรุงในวาระครบรอบ 10 ปี (2025)
เมื่อ 10 ปีก่อน ผมได้มีโอกาสนั่งทานข้าวอยู่ตรงข้าม Warren Buffett ที่ Piccolo Pete's Restaurant ในโอมาฮา ตอนนั้นเขาอายุ 85 ปี แต่ยังเต็มไปด้วยพลัง และอารมณ์ขันที่ทำให้คนรอบตัวยิ้มได้เสมอ
หลังจากวันนั้นผมรีบกลับมาเขียนบทความบันทึกบทเรียนจากเขาไว้ใน LinkedIn โดยไม่คิดเลยว่าอีก 10 ปีให้หลัง บทเรียนเหล่านั้นจะยังคงอยู่ และกลับมามีความหมายในมุมใหม่อีกครั้ง
วันนี้ผมขอนำบทความต้นฉบับนั้นกลับมาเล่า พร้อมแบ่งปัน 3 สิ่งที่เข้าใจลึกขึ้นจากการทำงาน ชีวิต และการเติบโตในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (ในปี 2558) ผมได้นั่งตรงข้ามโต๊ะกับหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ในเวลานั้นผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ในวัย 85 ปี (ณ ขณะนั้น) คุณปู่ Warren Buffett ยังมีพลังงานมหาศาลและมีออร่าที่ทำให้คนรอบข้างยิ้มได้ ผมอยากจะแบ่งปันสามสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณบัฟเฟ็ตต์ในช่วงการถาม-ตอบ และมื้อกลางวันที่ตามมาที่ร้าน Piccolo Pete's Restaurant เกี่ยวกับการมองโลกในแง่บวก ความหลงใหล และทักษะการสื่อสาร
นักศึกษาคนหนึ่งถามคุณปู่ Buffett ว่าเขาจัดการกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้อย่างไร คำตอบของเขาเป็นไปในแง่บวกอย่างเรียบง่าย เขาบอกว่าแม้จะต้องผ่านช่วงเวลาที่แย่ทั้งหมดเหล่านั้น เขาก็ยังคิดเสมอว่าเขาจะอยู่ในจุดที่เขาอยู่ทุกวันนี้ ทัศนคติของเขาสะท้อนถึงวิธีที่เขามองไปข้างหน้าสู่อนาคตและวันที่สดใสกว่า เขายังบอกอีกด้วยว่าเขาตื่นเต้นที่จะตื่นขึ้นมาทุกวัน
ในฐานะผู้ประกอบการในอนาคต นักศึกษาหลายคนสนใจในปรัชญาของเขาเรื่องการเสี่ยงในการเลือกอาชีพและขอคำแนะนำเขา คำตอบของเขาชัดเจนและกระชับมาก ๆ เขาบอกพวกเราว่า
"หากคุณทำตามแพชั่นของคุณ คุณก็ไม่ได้เสี่ยงอะไรสักนิด"
เขาอธิบายว่าความล้มเหลวทั้งหมดที่เกิดจากการทำในสิ่งที่คุณรัก ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการเข้าใกล้ความสำเร็จในสิ่งที่คุณรักมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง เขาแนะนำให้เราหาแพชั่นของเราและไล่ตามมัน อย่างไรก็ตาม เขาเตือนเราอีกว่า แพชั่นของเราต้องไม่เป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อชีวิตของเราหรือคนอื่น
หนึ่งในใบประกาศนียบัตรที่แขวนอยู่บนผนังของคุณปู่ Buffett ไม่ใช่ใบปริญญาของเขา แต่เป็นใบประกาศนียบัตรจากการจบหลักสูตร Dale Carnegie ด้านการสื่อสาร เขาเน้นย้ำกับพวกเราถึงความสำคัญของการสื่อสารทั้งด้วยปากเปล่าและการเขียน ผมถามเขาว่าทำไมเขาถึงจัด session ถาม-ตอบเหล่านี้หลายครั้งต่อปี เขาบอกผมว่านั่นเป็นหนึ่งในวิธีที่เขาฝึกทักษะการพูดในที่สาธารณะ - แม้ในวัย 85 ปี!
ช่วงนั้นผมท้อแท้ในการหางานเพราะ มันยากที่จะหาผู้จ้างงานที่สามารถสปอนเซอร์วีซ่าให้กับนักศึกษาต่างชาติได้ อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกมีกำลังใจและมีพลังใหม่มากเมื่อเขาพูดว่า
"ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างคุณกับผมคือวิธีที่เราเดินทาง (เพราะเขามีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว)"
คุณปู่ Buffett พยายามสื่อสารและช่วยให้ผมเห็นว่าอนาคตที่สดใสกำลังรอเราทุกคนอยู่ เขาสร้างแรงบันดาลใจให้ผมโอบกอดพลังของการคิดบวกและความเชื่อมั่นในตัวเอง
If you don't knock on the door, it will never open.
หากคุณไม่เคาะประตู มันจะไม่มีวันเปิดเอง
หลังจากผ่านทั้งช่วงเวลาที่ท้าทาย เศรษฐกิจผันผวน โรคระบาด และการเปลี่ยนผ่านชีวิตจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ผมเริ่มเข้าใจบทเรียนจากคุณปู่ Warren Buffett ในระดับที่ลึกขึ้นมาก จึงอยากเขียนสะท้อนเพิ่มเติมจากประสบการณ์อีกทศวรรษ
เมื่อก่อนผมคิดว่า "คิดบวก" เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่วันนี้ผมรู้ว่า การคิดบวกคือทักษะที่ต้องฝึกฝน และไม่ใช่การ "คิดบวกตลอดเวลา" เราทุกคนมีวันที่เหนื่อย ท้อ ถอยได้ แต่ต้องไม่ลืมกลับมายืนให้ได้อีกครั้ง
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้เพิ่มคือ พลังบวกมัน "แพร่เชื้อ" ได้ เหมือนแสงแดดที่ส่องผ่านคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เราควรหมั่นเอาตัวเองไปอยู่ในวงล้อมของคนที่สร้างพลังงานดีๆ และเป็นคนแบบนั้นให้กับคนอื่นด้วย
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมเริ่มแยกความหมายของ "Passion" กับ "Purpose" ออกจากกัน
Passion คือความรักในสิ่งที่ทำ ส่วน Purpose คือ "เป้าหมายใหญ่" ที่เราอยากสร้าง
ผมพบว่า Passion อาจเกิดขึ้นและดับไป ได้ แต่ Purpose จะเป็นเข็มทิศที่พาเราไปต่อแม้ในวันที่ไม่สนุก ไม่เป็นไปดั่งหวัง
อีกสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือ พลังงาน (Energy) สำคัญกว่าเวลา เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ "พลังงาน" ของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่าเทหมดกับสิ่งไม่จำเป็น และอย่าลืมเติมพลังให้ตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ
ผมยังจำได้ว่าคุณปู่ Buffett ภูมิใจในประกาศนียบัตร Dale Carnegie มากกว่าปริญญา นั่นสอนให้ผมเห็นคุณค่าของการสื่อสาร
แต่สิ่งที่ผมเข้าใจมากขึ้นวันนี้คือ การสื่อสารที่ดี เริ่มจากความใส่ใจและอยากเข้าใจผู้อื่น (Curiosity)
ในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็ว การสื่อสารมีหลายช่องทาง หลายเจเนอเรชัน เราต้องเรียนรู้ทั้งวิธีพูด วิธีฟัง วิธีเขียน และที่สำคัญ—สื่อสารด้วยใจ แม้จะผิดพลาดบ้าง คนก็พร้อมให้อภัย หากเราจริงใจ
10 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง แต่บทเรียนจากคุณปู่ Warren Buffett ยังใช้ได้เสมอ:
สุดท้ายนี้ ผมยังจำประโยคที่เขียนไว้เองได้ว่า
"If you don't knock on the door, it will never open."
เรามาเลือกให้โอกาสตัวเองได้ลอง ได้เรียนรู้และเชื่อว่าจะมีประตูแห่งโอกาสอีกมากที่รอเราอยู่
ขอบคุณตัวเองในวันนั้น ที่กล้าเคาะประตู และขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่เคียงข้างกันในวันนี้
บทความนี้เป็นการรวบรวมประสบการณ์และบทเรียนจากการพบปะ Warren Buffett เมื่อ 10 ปีก่อน พร้อมมุมมองใหม่ที่ได้จากการใช้ชีวิตและทำงานในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เหมาะสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ
Tags: Warren Buffett, Investment Wisdom, Entrepreneurship, Personal Development, Business Lessons, Success Mindset, Thai Business, Leadership